now know... "..หากสมองถูกอัดแน่นไปด้วยข้อมูลจากการอ่านและขยะทางความคิด บางสิ่งบางอย่าง ประสบการณ์ ความทรงจำ ความรู้สึกดีๆ อาจจะละลายสาบสูญไปจากสมอง การเขียนถือเป็นการจัดระเบียบความคิด เก็บกวาดแต่งแต้มจินตนาการที่รกร้างกระจัดกระจายให้เป็นที่เป็นทาง .. คงมีใครสักคนที่อาจได้แง่คิดและมุมมองจากการบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ชีวิต ความคิดคำนึง และจินตนาการ ผ่านงานเขียนในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใครของคุณก็เป็นได้.."
** คลิกดูคลิป PlayList ชี้แนะเส้นทาง เที่ยวไปกับjazz..... ** 1/17 ถึง 17/17

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เคยได้ยินไหม? "เงินเลี้ยงหัวใจแม่"

เคยได้ยินไหม? "เงินเลี้ยงหัวใจแม่"
By: Nameless

"..เลี้ยงกาย..อิ่มกาย เลี้ยงใจ..อิ่มใจ .. แม้วันนี้จะยังไม่พร้อมเลี้ยงท่านให้อิ่มทางกาย แต่เราสามารถเลี้ยงท่านให้อิ่มทางใจได้แล้ว โดยการทำให้ท่าน ชื่นอกชื่นใจ เย็นอกเย็นใจ สบายอกสบายใจ สุขอกสุขใจ ดีอกดีใจ เพียงเท่านี้ก็เป็นประหนึ่งดั่งว่าได้ทำให้ท่านขึ้นสวรรค์ทางใจแล้ว.."

อาจารย์ของผมท่านได้ให้เงินเดือนคุณแม่ของท่านเดือนละ 1,000 บาท เป็นประจำทุกเดือน

ผมสงสัยทำไมต้องให้เงินคุณแม่เดือนละ 1,000 บาท? ในเมื่อคุณแม่ก็อยู่บ้านหลังเดียวกับอาจารย์อยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายสำหรับท่าน อาจารย์ก็จัดการทั้งหมดอยู่แล้ว

วันหนึ่งสบโอกาสผมจึงตัดสินใจ ถามอาจารย์ "อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"

อาจารย์ตอบว่า "ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่.. ผมต้องจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้คุณแม่อีกเดือนละ 1,000 บาท.. ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"

ผมเลยบอกว่า "เงินเดือนที่ให้คุณแม่ 1,000 ตัดได้นี่ครับ.. อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดให้ท่านเรียบร้อย เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 1,000 นี่ ตัดได้ครับ"

อาจารย์บอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด...1,000 บาทนี่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินสำหรับเลี้ยงหัวใจแม่!"

ผมฟังแล้วสะอึก! "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" ..พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?

อาจารย์บอกต่อ..

"หัวใจต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข.. คุณลองนึกดู คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา-เหมือนดอกไม้ยามเย็น ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถ ค่าอาหาร ซื้อข้าวสาร มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน..

แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิกบาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดัง ฟังชัด..

ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือนออก ผมเข้าไปสวัสดีแม่ บอกแม่ว่า วันนี้เงินเดือนออกครับ ผมเอาเงินใส่มือแม่ 1,000 บาท แม่ก็ให้พร แล้วเก็บเงินไว้ใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข"

เงิน 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?

วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอดลูก คุณแม่ก็ซื้อทองให้หลานด้วยเงิน 1,000 บาท ที่เก็บสะสมไว้ ท่านกอดหลานสาว.. สวมสร้อยให้พร้อมให้พร

พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้ เด็กก็จะตอบว่า "คุณย่าซื้อให้" ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน 1,000 บาท นี่ทำให้คนตาบอดดูน่าเกรงขาม ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร? เห็นไหมครับ?

ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตาบอดที่มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่ เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 1,000 บาทนี่ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้

วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้ แม่ครัวหน้ามุ่ยทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆคว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 100 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ ขอบคุณค่ะ

วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จ รีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ.. วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า?

เห็นไหม..เงินเดือน 1,000 บาท ที่เราให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมาได้ มีคนมายกมือไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือน 1,000 บาทนี้แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร?

บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 1,000 บาท

วันหนึ่ง กำนันมาที่บ้านอาจารย์ หารือจะปรับปรุงห้องน้ำวัดที่ชำรุดทรุดโทรม แม่อาจารย์ได้ยินกวักมือเรียกอาจารย์ แล้วคุณแม่ยกหมอนขึ้น นับเงินมา 5,000 บาท บอกเอาไปให้กำนันปรับปรุงห้องน้ำ

เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 1,000 ที่เราให้เป็นบันไดพาแม่ไปสวรรค์.. นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือแม่จะได้ทำบุญไหม?

พอกำนันรับเงินเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ลุงแก่ๆบ้านโน้นกำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน กำนันตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างส้วมไหมลุง?

ลุงข้างบ้านตอบ "ลุงไม่มีเงินหรอก ลุงอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ"

เพราะลูกเค้าไม่ได้ให้เงินเดือนลุง ลุงคนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของลูกๆ ลุงคนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยง เอาไว้คอยเก็บผ้า!

เป็นยังไงบ้างครับ.. เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 1,000 บาท "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยังครับ

วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง?

* * * * *

@ *pdf เลี้ยงกายเลี้ยงใจพ่อแม่ [หลวงพ่อจรัญ]

* * * * *

เพลงแม่ เพราะๆซึ้งๆ

* * * * *

"น้ำพริกกุ้งแห้ง"
By: "เจ๊ส้มลิ้ม"

"..คลุกข้าวสวยร้อนๆ กินแก้มกับหมูทอด ผักบุ้งต้มหั่นฝอย เท่านี้ก็อร่อยแล้วค่ะ.."

สวัสดีค่ะ..คุณผู้อ่าน

พบกับ "เจ๊ส้มลิ้ม" อีกครั้งนะคะ หลังจากที่ครั้งแรกยืมเฟสคุณสามีโพสต์เรื่องการบ้านการเสื้อผ้าจนถูกแอดมินลบชื่อออกจากกลุ่ม 555

คราวนี้หวังว่าแอดมินกลุ่มต่างๆคงไม่ใจจืดใจดำลบออกจากกลุ่มอีกนะคะ

หลังจาก "เจ๊ส้มลิ้ม" เกษียณมาหมาดๆ มาอยู่เฝ้าบ้านเป็นเพื่อนคุณสามี ก็มีเวลาว่างเยอะแหละค่ะ

ก่อนหน้า 37 ปีที่ผ่านมา "เจ๊ส้มลิ้ม" ต้องตื่นแต่เช้ามืด อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำทุ่มสองทุ่มเข้าไปแล้วล่ะค่ะ

ก็คนมันเคยตื่นแต่เช้านี่คะ จะให้นอนคุดคู้อยู่บนที่นอนได้ไง

ตื่นแต่เช้า "เจ๊ส้มลิ้ม" ชวนคุณสามีเดินสำรวจรอบหมู่บ้านที่อาศัยปัจจุบันซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ พอดวงอาทิตย์โผล่ก็แวะตลาดสดกลางหมู่บ้านนั่นแหละค่ะ หาซื้อผักผลไม้กลับมาทำอาหารเช้ารับประทานที่บ้าน

ก็เป็นความสุขเล็กๆของคนที่เพิ่งเกษียณมาหมาดๆแหละค่ะ

และแล้วเช้าวันนั้น "เจ๊ส้มลิ้ม" ก็พบความจริงอันนึง คุณผู้อ่านเชื่อมั้ยคะ.. เดี๋ยวนี้อาชีพที่ฮิตที่สุดของผู้สูงอายุคือ "เดินเก็บของเก่า" ค่ะ

เท่าที่เห็น ผู้สูงอายุ "เดินเก็บของเก่า" 5 ราย เป็นหญิง 2 ชาย 3 ค่ะ

โอ้พระเจ้ากล้วยทอด เศรษฐกิจ รบ.ยึดอำนาจ เป็นแบบนี้กันแล้วรึ?

ผ่าน..ผ่าน.. ไม่คอมเม้นท์จ้า!

มา..เข้าเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังกันดีกว่าค่ะ

ห่างจากบ้าน "เจ๊ส้มลิ้ม" ไปประมาณ 1 กิโลเมตร มีคุณยายท่านหนึ่งอายุก็ราวๆ 70-80 "เจ๊ส้มลิ้ม" เดินผ่านไปทีไรก็เห็นท่านนั่งอยู่หน้าบ้าน เห็นครั้งแรก "เจ๊ส้มลิ้ม" นึกว่าท่านนั่งขอทาน นาทีนั้น "เจ๊ส้มลิ้ม" คิดถึงแม่ที่จากไปแล้ว นึกสงสารคุณยาย เลยควักแบ้งร้อยยัดใส่มือของท่าน

เท่านั้นแหละค่ะ คุณยายเอะอะโวยวายลั่นไปเลย

คุณยายท่านว่าท่านไม่ได้นั่งขอทาน ที่นั่งอยู่นี่ก็บ้านหลานชายของท่านเอง

"เจ๊ส้มลิ้ม" ยกมือไหว้ขอโทษขอโพยคุณยายค่ะ และขออนุญาตนั่งคุยด้วย สักพักก็คุยกันถูกคอ คุณยายท่านเล่าให้ฟังหลายเรื่องราว เป็นชีวิตที่น่าสงสารและน่าเห็นใจของตัวคุณยายเอง สุขบ้างทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป เอาเป็นว่า "เจ๊ส้มลิ้ม" ขออนุญาตไม่ขยายความต่อนะคะ

แล้วความคิดนึงก็แว้บเข้ามาในสมองอันน้อยนิดของ "เจ๊ส้มลิ้ม"

2-3 วันต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม" เอา "น้ำพริกกุ้งแห้ง" ไปฝากคุณยาย 28 ถ้วยพลาสติก

"น้ำพริกกุ้งแห้ง" เป็นน้ำพริกประจำบ้าน "เจ๊ส้มลิ้ม" ทำกินเป็นประจำ ไว้ชูรสเวลากินข้าวไม่อร่อย ไม่ใส่สารกันบูด แต่ใส่กุ้งแห้งครึ่งกิโลกรัม

ส่วนผสมนี้ "เจ๊ส้มลิ้ม" ปรุงครั้งนึงจะได้ 28 ถ้วยพลาสติก(Ǿ75 5oz) ถ้าใส่กระปุกแก้วเก็บไว้กินเป็นเดือนๆก็ไม่เสีย

"น้ำพริกกุ้งแห้ง" สูตรนี้ ทั้งเผ็ดและเค็ม ที่เค็มคือใส่กุ้งแห้งเยอะค่ะ สำหรับคลุกข้าวสวยร้อนๆ กินแก้มกับหมูทอด ผักบุ้งต้มหั่นฝอย เท่านี้ก็อร่อยแล้วค่ะ

วันต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม" เดินผ่านไป คุณยายบอกว่าน้ำพริกกุ้งแห้งที่ให้มา ยายไม่ทันได้กิน แต่มีคนมาขอซื้อ ไม่ถึงชั่วโมงก็ขายเกลี้ยง

ว่าแล้วคุณยายก็นับเงินส่งให้ "เจ๊ส้มลิ้ม" 840 บาท "คนซื้อบอกว่าแซบดี ถ้ามีอีกก็เอามาให้อีก ยายจะนั่งขายน้ำพริกกุ้งแห้งนี่แหละอีหนูเอ๊ย"

"???"

"เงินหนูไม่เอา คุณยายเก็บไว้ใช้ไว้ทำบุญเถอะค่ะ"

"???"

"ทุกต้นเดือนหนูจะเอาน้ำพริกมาให้คุณยายอีกนะคะ"

"???"

"ไม่ต้องคิดอะไรมากค่ะ คุณยายจะได้มีเงินไปทำบุญที่วัดทุกวันพระไงคะ"

"???"

หุหุ.. แม่นักสังคมสงเคราะห์ โนเนม 555

"???"

วันนี้โชคดีนะคะ คุณผู้อ่านทุกๆคน..

"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"
8 พฤศจิกายน 2560

* * * * *

* * * * *

* * * * *

* * * * *

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ทวงถามเงินบำเหน็จชราภาพที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายไม่ครบ

ทวงถามเงินบำเหน็จชราภาพที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายไม่ครบ

"..ตอนจะเอาใช้กฎหมายบังคับเอาไปทันที พอตอนจ่ายคืนต้องอุทธรณ์อยู่หลายปีกว่าจะได้ครบ .. เงินสองพันกว่าๆแค่รายเดียวมองเผินๆมันน้อยนิดก็จริง ถ้าเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านรายละ เงินมันมหาศาลแค่ไหน? คิดซิ..คิดซิ!!.."

"เจ๊ส้มลิ้ม"ได้เกษียณ 2 ครั้งนะคะ

ระยะเวลาที่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานกับ"บูติคแฟคตอรี่" ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2559 รวมทั้งหมด 37 ปีเต็มๆค่ะ

*เกษียณครั้งแรก วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2556 เกษียณอายุ 55 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกแพทเทริน"ค่ะ

"บูติคแฟคตอรี่" มอบของขวัญ "สลากออมสินพิเศษ" มูลค่า 2,000.00 บาท ให้"เจ๊ส้มลิ้ม"ด้วยค่ะ

และ "ประกันสังคม" *ข้อความ((ในวงเล็บ))ต่อไปนี้ โปรดสังเกตปี พ.ศ.นะคะ..

((... หลังจาก"เจ๊ส้มลิ้ม"ติดต่อทำเรื่องเกษียณแล้ว วันที่ 18 เมษายน 2556 และวันที่ 5 มิถุนายน 2556 "ประกันสังคม" อนุมัติจ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมด 136,295.24 บาท ซึ่งมันน้อยกว่าที่"เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณไว้ (เก่งกว่าเจ้าหน้าที่อีกค่ะ..หุหุ)

"เจ๊ส้มลิ้ม"จึงอุทธรณ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 และได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนครบ 148,854.92 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 (ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ผู้ลงนาม นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ)

แต่ "เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณเอง ว่าจะได้รับเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนรวมทั้งหมด 151,320.40 บาท จึงอุทธรณ์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 ว่าทาง"ประกันสังคม"จ่ายเงินไม่ครบยังขาดอีก 2,465.48 บาท

"เจ๊ส้มลิ้ม"ยื่นอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 10 เขตมีนบุรี

น.ส.สุนันทา นาคดี นักวิชาการแรงงานชำนาญการ เป็นผู้รับแบบอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งค่ะ

วิธีคำนวณของ"เจ๊ส้มลิ้ม" กรุณาดูคำอุทธรณ์ 1/2 และ 2/2 ที่แนบมาพร้อมกับบทความนี้นะคะ

แต่จนถึงป่านนี้(วันที่ 13 กันยายน 2560) "เจ๊ส้มลิ้ม"ยังไม่ได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินที่ยังค้างจ่ายตามที่อุทธรณ์ครั้งที่ 2 ไว้นะคะ ...))

หนึ่งเดือนให้หลัง ต่อมา วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2556 "บูติคแฟคตอรี่"ก็เรียก"เจ๊ส้มลิ้ม"กลับเข้าทำงานตำแหน่งเดิมอีกครั้ง

*เกษียณครั้งที่สอง วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2559 เกษียณอายุ 58 ปี ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกตรวจสอบคุณภาพ" หรือ QC ค่ะ

เกษียณครั้งนี้ "บูติคแฟคตอรี่" ได้จ่ายเงินชดเชยให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 114,000.00 บาท

และ"ประกันสังคม"จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 36,138.59 บาท เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560

* * * * *

ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลว.22พ.ค.58 นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ
เงินสมทบกรณีชราภาพ 114,757.02 บาท
ผลประโยชน์ตอบแทน 34,097.90 บาท
รวมเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ 148,854.92 บาท

น่าจะเป็น
--- เงินสมทบกรณีชราภาพ 114,757.02 บาท
--- ผลประโยชน์ตอบแทน 36,563.38 บาท
--- รวมเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ 151,320.40 บาท

--- ขาดอีก (151,320.40 - 148,854.92) 2,465.48 บาท

จ่ายครบแล้วจ้า เช็คธนาคารกรุงไทย ลงวันที่ 1/11/2560 จำนวนเงิน 2,465.48 บาท

* * * * *

@ ลูกจ้างทุกคนโปรดทราบ (คลิกที่นี่..) "..ประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไป .. ลูกจ้างเกษียณอายุถือเป็นการเลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด.."

* * * * *

"เกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"จ้า!!"

วันนี้อารมณ์ดี มา..จะเล่าเกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ให้อ่านกัน!!

@ "ชีวิตในวัยเด็ก"

"เจ๊ส้มลิ้ม"บ้านเกิดอยู่ที่ดอนกระเบื้องตำบลพงสวายจังหวัดราชบุรีโน่น พ.ศ.2501 เป็นปีเกิดค่ะ

ตอนเด็กๆ"เจ๊ส้มลิ้ม"น่ารักนะคะ ใครเห็นก็ทักใครเห็นก็ชมว่าหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา จนกระทั่งคำว่า"จิ้มลิ้ม"เกือบจะกลายเป็นชื่อของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ไปแล้วค่ะ

ถ้าไม่เผอิญช่วงเวลานั้นมีคุณนาย"ส้มลิ้ม"เศรษฐีนีผู้ใจบุญสุนทานกำลังโด่งดังขจรขจรขจายถึงความมั่งคั่งและความใจบุญสุนทาน คุณยายของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ได้ช่องจึงตั้งชื่อตามว่า"ส้มลิ้ม"ไงคะ เพราะอยากให้หลานสาวคนนี้เติบใหญ่เป็นเศรษฐีนีกับเขาบ้าง..อิอิ

ปัจจุบัน"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นได้แค่ "เศษ"ฐ๊นี เท่านั้นค่ะ 555

ชีวิตในวัยเด็ก"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เหมือนๆคนบ้านนอกทั่วๆไปล่ะค่ะ ตื่นเช้าก็เข้าครัวหุงข้าวทำกับข้าวกับปลาแล้วก็หอบหนังสือไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียนก็เข้าครัวอีกแหละ

พ่อแม่"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นชาวนาค่ะ ทำนาปลูกข้าวสองคนตายาย ออกบ้านแต่เช้ามืดเย็นย่ำค่ำลงถึงจะกลับถึงบ้าน ตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่มีสมาธิจะเรียนแล้ว ร่ำๆจะลาออกกลางคันเพราะสงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนัก แต่ท่านทั้งสองห้ามไว้ค่ะ

จนกระทั่งเรียนจบ"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาค่ะ หลีกทางให้พี่ชายได้เรียนต่อชั้นมัธยม ด้วยข้ออ้างพี่เป็นผู้ชายจะต้องเรียนให้สูงๆจะได้เป็นหลักครอบครัวของเราค่ะ

"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็อ้างๆไปยังงั้นแหละ แต่ความจริงเป็นเพราะ"เจ๊ส้มลิ้ม"สงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักมากกว่าค่ะ

เมื่อเติบโตเป็นสาวรุ่นๆ"เจ๊ส้มลิ้ม"มีเพื่อนเยอะค่ะทั้งชายหญิง ก็เพื่อนๆร่วมรุ่นที่เรียนหนังสือโรงเรียนวัดมาด้วยกันไงล่ะคะ เพื่อนบางคนที่พ่อแม่มีอันจะกินก็เข้าไปเรียนต่อชั้นมัธยมในเมืองกัน ก็เกือบจะทุกคนแหละค่ะที่ได้เรียนต่อ ยกเว้น"เจ๊ส้มลิ้ม"คนเดียวที่ก้มๆเงยๆทำนาปลูกข้าวกลางทุ่งกลางนาอยู่งกๆ

"เจ๊ส้มลิ้ม"ช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่หลายปีค่ะ ก็ทุลักทุเลลุ่มๆดอนๆไปตามจังหวะชีวิตแหละค่ะ ไม่ก้าวหน้าไปไหนมีแต่ถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆ

หันไปมองเพื่อนๆที่ก้าวหน้าไปคนแล้วคนเล่า แล้วก็หันกลับมามองตัวเอง น่าสังเวชเกิ้น.. ตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"รู้สึกเบื่อๆกับชีวิตเช้าก็ทำนาเย็นก็ทำนามืดก็ทำนา ทำนา ทำนา ทำนา อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เบื่อ เบื่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่ะ

แล้วก็เหมือนฟ้ามาโปรด ก็ให้เผอิญมีพี่ข้างบ้านไปเรียนจบวิชาตัดเย็บเสื้อมาจากกรุงเทพฯเปิดร้านอยู่หน้าตลาดในตัวเมืองราชบุรี "เจ๊ส้มลิ้ม"จึงตัดสินใจเลิกทำนาไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ากับพี่เค้าซึ่งพ่อแม่ก็เห็นดีเห็นชอบอนุญาตให้ไปเรียนได้ค่ะ

* * * * *

@ "เข้ากรุงเทพฯหางานทำจ้า"

หลังจากฝึกปรือวิทยายุทธวิชาตัดเย็บเสื้อผ้าจนเก่งพอตัวพอจะบินเดี่ยวได้แล้ว ตอนนั้นพ่อแม่ซื้อจักรเย็บผ้ายี่ห้อซิงเกอร์ให้ 1 คัน "เจ๊ส้มลิ้ม" ก็รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าให้คนแถวๆบ้าน วันนึงก็ได้หลายตังค์อยู่

นึกแล้วขำ.. เรียนมาแทบตายต้องมาเย็บชายผ้าขะม้าต่อผ้าถุงปะตูดตัดขาต่อขาทั้งกางเกงขาสั้นขายาว โอ้ย..สารพัดงานที่เขาจ้าง แต่ไม่มีใครสักคนกล้าให้"เจ๊ส้มลิ้ม"วัดตัวตัดเสื้อตัดชุดตัดกระโปรงกับเขาบ้าง ก็งานอย่างนี้"เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่ได้แอ้มกับเขาหรอก โน่น..เขาไปตัดกับช่างที่จบมาจากกรุงเทพฯโน่น..

และแล้ว"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็ตัดสินใจเข้าไปเผชิญโชคในกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทยตามคำชักชวนของน้า(น้องสาวแม่)ที่ออกเรือนไปอยู่บ้านสามีที่คลองจั่นบางกะปิ

ก็กินนอนอยู่กับน้าอยู่หลายเดือน จนตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"ตัวกลมอ้วนเป็นหมูตอนเลยล่ะค่ะ ตื่นเช้ามาก็ออกไปซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านปากซอยซึ่งตอนนั้นเขาขายเล่มละ 2 บาท แล้วก็พลิกๆหาหน้า ที่เขาลงแจ้งความรับสมัครงาน ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย

งานมีให้เลือกทำแต่ที่ทำงานอยู่ไกลโพ้น บ้านอยู่บางกะปิแต่ที่ทำงานอยู่พระประแดงโน่นใครจะถ่อไปไหว เฉพาะนั่งรถเมล์ก็ครึ่งค่อนวันเข้าไปแล้ว อ้อ..ลืมบอกตอนนั้นค่าโดยสารรถเมล์ตลอดสาย 75 สตางค์เท่านั้นค่ะ

มีอีกเรื่องลืมบอก "เจ๊ส้มลิ้ม"เคยไปสมัครงานโรงงานทำซิปที่ถนนลาดพร้าวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบางกะปินัก เดินทางสบายๆ แต่เขาไม่รับค่ะ

* * * * *

@ "ไชโย ได้งานทำแล้วนะคะ"

"นิวซิตี้แฟคตอรี่" ตั้งอยู่ที่ถนนสุรวงศ์บางรัก เขาขยายกิจการต้องการพนักงานหลายตำแหน่ง ซึ่งเขารับ"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานในตำแหน่ง "พนักงานเย็บผ้า" อัตราค่าจ้าง 900 บาท/เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 เป็นต้นมาค่ะ

2-3 ปีต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม"ถูกย้ายไปประจำ"บูติคแฟคตอรี่"พระโขนง ใกล้บ้านเข้ามาหน่อยนึง เดินทางสบายๆเพราะนั่งรถเมล์ต่อเดียว

จากนั้นมา ปี 2 ปีก็ถูกย้ายไปทำงานแผนกอื่นสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุกแผนกจนจะทั่วทั้งโรงงานแหละค่ะ พูดไปแล้วจะหาว่าโม้ อะไรๆที่เกี่ยวกับ"บูติค"ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันสากกระเบือยันเรือรบนี่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำเป็นเหมิด ไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าแหกตาก็แล้วกัน

"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นคนรักเดียวใจเดียวค่ะ ก็อยู่ทำงานที่นี่ตั้งแต่ยังสาวโสดปิ้งๆจนมีสามีและมีลูกชายโทนอีก 1 คน ก็ตั้งแต่สาวๆจนแก่นั่นแหละค่ะ "เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่ออกไม่ย้ายไปไหน ก็รักที่นี่รัก"บูติคแฟคตอรี่"นี่คะ..อิอิ

* * * * *

@ "เชื่อมั้ยคะ "เจ๊ส้มลิ้ม"โชคดีได้เกษียณถึง 2 ครั้งค่ะ"

*เกษียณครั้งแรก วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2556 เกษียณอายุ 55 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกแพทเทริน"ค่ะ

"บูติคแฟคตอรี่" มอบของขวัญ "สลากออมสินพิเศษ" มูลค่า 2,000.00 บาท ให้"เจ๊ส้มลิ้ม"ด้วยค่ะ

และ "ประกันสังคม" *ข้อความ((ในวงเล็บ))ต่อไปนี้ โปรดสังเกตปี พ.ศ.นะคะ..

((... หลังจาก"เจ๊ส้มลิ้ม"ติดต่อทำเรื่องเกษียณแล้ว วันที่ 18 เมษายน 2556 และวันที่ 5 มิถุนายน 2556 "ประกันสังคม" อนุมัติจ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมด 136,295.24 บาท ซึ่งมันน้อยกว่าที่"เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณไว้ (เก่งกว่าเจ้าหน้าที่อีกค่ะ..หุหุ)

"เจ๊ส้มลิ้ม"จึงอุทธรณ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 และได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนครบ 148,854.92 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 (ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ผู้ลงนาม นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ)

แต่ "เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณเอง ว่าจะได้รับเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนรวมทั้งหมด 151,320.40 บาท จึงอุทธรณ์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 ว่าทาง"ประกันสังคม"จ่ายเงินไม่ครบยังขาดอีก 2,465.48 บาท

"เจ๊ส้มลิ้ม"ยื่นอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 10 เขตมีนบุรี

น.ส.สุนันทา นาคดี นักวิชาการแรงงานชำนาญการ เป็นผู้รับแบบอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งค่ะ

วิธีคำนวณของ"เจ๊ส้มลิ้ม" กรุณาดูคำอุทธรณ์ 1/2 และ 2/2 ที่แนบมาพร้อมกับบทความนี้นะคะ

แต่จนถึงป่านนี้(วันที่ 13 กันยายน 2560) "เจ๊ส้มลิ้ม"ยังไม่ได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินที่ยังค้างจ่ายตามที่อุทธรณ์ครั้งที่ 2 ไว้นะคะ ...))

จ่ายครบแล้วจ้า เช็คธนาคารกรุงไทย ลงวันที่ 1/11/2560 จำนวนเงิน 2,465.48 บาท

และแล้ว..หนึ่งเดือนให้หลัง ต่อมา วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2556 "บูติคแฟคตอรี่"ก็เรียก"เจ๊ส้มลิ้ม"กลับเข้าทำงานตำแหน่งเดิมอีกครั้ง

*เกษียณครั้งที่สอง วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2559 เกษียณอายุ 58 ปี ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกตรวจสอบคุณภาพ" หรือ QC ค่ะ

เกษียณครั้งนี้ "บูติคแฟคตอรี่" ได้จ่ายเงินชดเชยให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 114,000.00 บาท

และ"ประกันสังคม"จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 36,138.59 บาท เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560

สรุป..ระยะเวลาที่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานกับ"บูติคแฟคตอรี่" ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2559 รวมทั้งหมด 37 ปีเต็มๆค่ะ

* * * * *

@ "ยุทธการแก้แค้น"เจ๊ส้มลิ้ม"วัยเรียนไม่ได้เรียน"

อ่านมาถึงตอนนี้ก็ขอย้อนถอยหลังกลับไปปี พ.ศ.2530 "เจ๊ส้มลิ้ม"มีสามีค่ะ อายุเราห่างกันแค่ 11 ปีเท่านั้นเอง เขาเป็นหนุ่มน้อยมาจากเมืองเหนือจังหวัดลำพูน ส่วน"เจ๊ส้มลิ้ม"มาจากจังหวัดราชบุรี มาเจอะเจอกันที่กรุงเทพฯนี่แหละค่ะ

ครั้นปี พ.ศ.2532 ลูกชายโทนก็โผล่ออกมาลืมตาดูโลก เชิญคุณๆตามไปอ่านลิ้งค์นี้นะคะ เป็นเรื่องราวของลูกชายโทนคนนี้ค่ะ..

@ คลิกที่นี่ค่ะ..

@ หรือคลิกที่นี่..

ปี พ.ศ.2539 ลูกชายโทนครบเกณฑ์เข้าเรียนชั้นประถม1 โรงเรียน กทม. ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ส่วน"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เข้าเรียน กศน. ก็โรงเรียนเดียวกันนี่แหละค่ะ เพียงแต่ กศน.เรียนเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น

หนึ่งเดือนแรก"เจ๊ส้มลิ้ม"สอบเทียบชั้นประถม6 เรียนอีก 1 ปี 6 เดือน สอบเทียบชั้นมัธยม3 และเรียนอีก 1 ปี 6 เดือน สอบเทียบชั้นมัธยม6

สรุป..เอาเป็นว่าพอลูกชายโทนเรียนชั้นประถม4 "เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เรียนจบชั้นมัธยม6แล้วนะคะ เมื่อได้ประกาศนียบัตร เป้าหมายสุดยอดของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็อยู่ที่ ม.รามฯ นี่แหละค่ะท่านผู้อ่าน!!

* * * * *

@ "บทส่งท้าย"

เป็นไงคะ เกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ตั้งแต่สาวจนถึงแก่ ตั้งแต่ตัวคนเดียวจนกระทั่ง "เจ๊ส้มลิ้ม"1 สามี1 ลูกชายโทน1 ก็สามคนเข้าไปแล้วนะคะท่านผู้อ่าน!!

อ้อ..ยังมีอีกอัน เรื่อง"ประกันสังคม"นี่ สามีของ"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นคนคำนวณให้เองค่ะ เรื่องเลขผาหน้าไม้นี่เขาเก่ง ตอนเรียน ม.6 สอบเลขได้คะแนนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกเทอมเลยนะคะ

ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ค่ะ หวังว่าแอดมินกลุ่มต่างๆคงไม่ใจจืดใจดำลบออกจากกลุ่มอีกนะคะ 555

เอาเป็นว่า วันไหน"เจ๊ส้มลิ้ม"อารมณ์ดีก็จะมาเม้าท์ให้อ่านกันอีกค่ะ โชคดีนะคะ ท่านผู้อ่านทุกๆคน..

"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"
13 กันยายน 2560

* * * * *

ข้าวห่อไข่ ทีมงาน"ศิริชัยเกียรติ" ส่งเข้าประกวด งานทำบุญประจำปีบริษัทฯ 5ส.ค.2554

แล้วก็ได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศ

* * * * *

@ พาลูกไหว้พระ9วัด 6มี.ค.2554

* * * * *

เพลง แม่ค้าหน้าคอม

* * * * *

"ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!

เกษียณแล้วจ้า!! "เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่กับบ้านเฉยๆหลานก็ไม่มีให้เลี้ยง เหงาจังเล้ย..

วันก่อนไปใช้บริการสาวน้อยครึ่งราคานั่งรถ ปอ.8 จากต้นทาง"เคหะร่มเกล้า"ไปเที่ยว"สำเพ็ง"ใกล้ๆปากคลองตลาดสะพานพุทธฯโน่นค่ะ เดินผ่านร้านขายผ้า โอ้ย..เยอะแยะมากมายหลากหลายสีลายหูลายตาไปเหมิด..

แล้วความคิดดีๆก็แว้บเข้ามาในสมอง เราจะอยู่กับบ้านให้เซ็งเป็ดไปทำไม หุ่นรึก็ยังสเลนเดอร์เป๊ะๆ สรีระรึก็ยังไม่แก่จนเกินไป (มีผัวเด็กได้..อิอิ)

อย่ากระนั้นเลยไม่รอช้า เลือกซื้อผ้ามาได้หลายชิ้น กะจะทำชุดใส่เองใส่อวดผัวไม่ให้วอกแวกคิดนอกใจ..อิอิ

แล้วก็เป็นที่มา "ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!! นี่แหละค่ะ..

บอกก่อนนะคะ ยืม FB สามีโพสต์ค่ะ

ชุดแรกนี่ เป็นผ้าฝ้ายทอมือ สีเขียวสดใส มาตรฐาน size M 37-30-38.5 ตัวกระโปรงมีซับใน มีผ้าคาดเอวซาตินสีดำขลับไว้รัดเมื่อพุงยืน..อิอิ

ชุดที่สอง เป็นชุดเดรส มาตรฐาน size M 37-30-38.5 ซับในทั้งชุด ตัดเย็บจากผ้าไหมเนื้อดี สีแดงเลือดนกสดใส

เอ้า..ไม่รอช้ามาดูรูปถ่ายกัน

สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!

"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"
12 กันยายน 2560

* * * * *

หลังออกพรรษาปีนี้..วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2560 ตระกูล"ดุษฎีปัญจพร" ทอดกฐินที่วัดตรีญาติ ต.พงสวาย อ.เมือง ราชบุรี จ้า!!

ภาพ1/4..ผ้าซิ่นชุดนี้จะใส่ไปทอดกฐินที่วัดตรีญาติ จ้า!!

ภาพ2/4..ผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ เก็บไว้ใส่เองจ้า!!

ภาพ3/4..ผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ เอาไปฝากญาติผู้ใหญ่จ้า!!

ภาพ4/4..และผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ ก็เอาไปฝากญาติผู้ใหญ่จ้า!!

มาตรฐาน size M 00-30-38.5

ทั้งหมด 4 ภาพ "ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!

บอกก่อนนะคะ ยืม FB สามีโพสต์ค่ะ

เอ้า..ไม่รอช้ามาดูรูปถ่ายกัน

"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"
13 กันยายน 2560

* * * * *

แล้วก็เป็นเรื่องจนได้..

".. ที่ผมโพสต์กระทู้อยู่ทุกวันนี้มีทั้งหมด 20 กว่ากลุ่ม ซึ่งทั้งหมดมาลากผมไปเข้ากลุ่มเองโดยที่ผมไม่เคยไปร้องขอหรือสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มกับเค้าเลย..

ไหนๆก็ลากเข้าไปแล้วผมก็เลยตามเลยมาจนทุกวันนี้ไง เมื่อผมโพสต์เรื่องอะไรผมก็จะเผื่อแผ่เอาไปโพสต์กับกลุ่มต่างๆที่ลากผมเข้าไปด้วยมาตลอด

2-3วันก่อนแม่บ้านซึ่งอ่อนกว่าผม 11 ปี เพิ่งเกษียณมาหมาดๆมาอยู่เฝ้าบ้านเป็นเพื่อนผมอีกคน เธอฮึดขึ้นมายึดเอาล็อคอินเฟสบุ๊คของผมไปโพสต์เรื่องเสื้อผ้าชุดแต่งกายแบบต่างๆที่เธอซื้อผ้าตัดเย็บเองแล้วก็ใส่เองนั่นแหละ

ผมท้วงว่านี่มันเฟสการเมืองจะเอาเรื่องพวกนี้มาโพสต์เดี๋ยวเพื่อนๆที่ติดตามเฟสผมเขาจะหมั่นไส้เอานา

แม่บ้านผมเธอสวนกลับ ก็เปลี่ยนบรรยากาศเรื่องเครียดๆการเมืองมาเรื่องการบ้านการทำบุญบ้างจะเป็นจะตายกันเลยรึ?

ผมจนใจเถียงไม่ออก (หุหุ..โรคเกลียมัว!!) แต่ก็ขอต่อรองขอโพสต์จั่วหัวโพสต์ของเธอไว้บรรทัดเดียว

"โพสต์นี้จะโดนลบหรือไม่ มาดูกันว่าอ่านหนังสือเกิน 3 บรรทัดมั้ย.."

กันเผื่อแอดมินบางกลุ่มที่สมาธิสั้นอ่านหนังสือไม่เกิน 3 บรรทัด จะพาลลบกระทู้หรือไม่ก็ลบออกจากกลุ่มไปเลย

นั่นไง..ผมสังหรณ์ใจไม่ผิดเล้ย พับผ่า!!สิ

กลุ่มแรกที่ลบผมออกจากกลุ่มคือ "กลุ่มเรารักแดงเกลียดสลิ่ม V.2" / ตามมาด้วย "กลุ่มประชาธิปไตย คนไทยถิ่นกาขาว" / และตามมาอีกคือ "กลุ่ม Ku ขอประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะคืน" / รวม 3 กลุ่มด้วยกัน

และก็ยังไม่รู้ว่ากำลังจะตามมาอีกกี่กลุ่ม? เข้าใจว่าแอดมินของกลุ่มที่เหลือคงจะสมาธิมั่นคงอ่านหนังสือเกิน 3 บรรทัดแน่ๆ เลยรู้เรื่องราวความเป็นมาของโพสต์แม่บ้านผมว่าไม่เกี่ยวกับการขายสินค้าอะไรนั่น ก็เลยยังไม่ได้ลบผมออกกัน

สำหรับ "กลุ่มหัวใจสีแดง รักประชาธิปไตย" ก่อนหน้า 2-3 วันที่ผ่านมา ผมลบตัวเองออกจากกลุ่มเองแหละครับ

ทั้ง 4 กลุ่มที่ผมว่ามา ต่อไปอย่าลากผมเข้ากลุ่มอีกนะครับ คราวนี้ผมเขียนด่าเอาจริงๆด้วย .."

ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร
14 กันยายน 2560
@ คลิกที่นี่.. "แล้วก็เป็นเรื่องจนได้.."

* * * * *